เตรียมความพร้อมก่อนออกเดินทางท่องเที่ยว บทเกริ่นนำ (ก่อนรายละเอียดแบบเจาะลึก .. ในบทความถัดไป) |
Short cut จาก Lisa ย้อนหลังเมื่อ 2 เดือนที่แล้ว ฉบับเดือน กรกฎาคม 2557 |
The concept of well-being
จุดประสงค์ในการสร้างบทความต่างๆ เพื่อให้ความรู้ทางสุขภาพผ่านทางบทความ โดยไม่หวังผลทางธุรกิจ จึงขอความร่วมมือจากผู้เข้ามาเยี่ยมชมร่วมปฏิบัติตาม / คลังบทความนี้ได้บันทึกบทความตามกาลสมัย และเป็นบทความสั้นๆ ซึ่งความรู้ทางการแพทย์บางสาขามีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา, จึงแนะนำให้ปรึกษาแพทย์เมื่อมีข้อสงสัย
Translate
Wednesday, 3 September 2014
Preparedness of your trip [aspect of infection control]
Monday, 18 November 2013
Llifestyle changes will improve health [Part 1]
สวัสดีตอนเช้าวันจันทร์ หลังวันลอยกระทงครับ
หลังจากบทความล่าสุดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เป็นบทความที่เน้นเตือนถึงโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ avian influenza A ( H6N1 ) virus ซึ่งเป็นบทความที่มีศัพท์เฉพาะทางการแพทย์ค่อนข้างมาก
บทความฉบับนี้ จึงนำเสนอข้อมูลทางสุขภาพแบบใกล้ตัวมาฝากครับ ซึ่งถ้าสามารถทำได้อย่างสม่ำเสมอ นอกจากเป็นการเสริมสร้างสุขภาพทางจิตให้ดีแล้ว ยังสามารถป้องกันกลุ่มโรคเรื้อรังบางกลุ่มได้ด้วย
สามารถอ่านเพิ่มเติมที่ page ของโรงพยาบาลกรุงเทพ (แนบ link ไว้ที่ท้ายบทความ)
ขออธิบายเพิ่มเติมครับ
* แนะนำ การออกกำลังกายแบบ aerobic ที่เหมาะสมตามสรีรวิทยาของแต่ละคน เช่น การวิ่ง, เดินเร็ว, ปั่นจักรยาน, ว่ายน้ำ, รำมวยจีน หรือ การออกกำลังกายที่ fitness center (ยกเว้น การเพาะกาย, ยก weight นะครับ อันนี้ไม่อยู่ในเกณฑ์ของ aerobic exercise) เป็นต้น *
* โดยเป็นการออกกำลังกายที่มีระดับความเข้มข้นของการออกกำลังกายอยู่ในช่วงพอดี หรือที่ทางการแพทย์เรียกว่า Moderate intensity คือ เหมาะสมตามวัย (ไม่หักโหม หรือน้อยเกินไป), ระยะเวลาออกกำลังกายอย่างน้อยประมาณ 30 นาที ต่อครั้งต่อวัน และสม่ำเสมอ เช่น 3-4 วันต่อสัปดาห์ (ประมาณวันเว้นวัน ต่อสัปดาห์) แต่หากไม่สามารถทำได้ เนื่องจากข้อจำกัดเรื่องเวลาว่าง สามารถปรับให้เข้ากับ lifestyle ของตัวเองได้ครับ เน้นข้อสำคัญที่ การออกกำลังกายอย่างถูกวิธีครับ *
* สำหรับการออกกำลังกายแบบ aerobic ที่เหมาะสมตามสรีรวิทยาของแต่ละคน หมายความว่า บางโรคประจำตัวมีข้อจำกัดในการออกกำลังกาย ตัวอย่างเช่น โรคทางกระดูกและข้อ, โรคข้อเข่าเสื่อม (osteoarthritis of knee joint), หมอนรองกระดูกเคลื่อนกดทับเส้นประสาท (herniated nucleus pulposus) นั้นควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่ส่งแรงกระแทกไปที่รอยโรค (เช่น การวิ่งกลางแจ้ง) จึงขอแนะนำการออกกำลังกาย ที่มีแรงกระแทกผ่านกระดูกและข้อ น้อยลง เช่น ว่ายน้ำ, ปั่นจักรยาน หรือ หากจะวิ่ง ก็ควรวิ่งใน fitness center ที่มีเครื่องออกกำลังชนิดพิเศษในการลดแรงกระแทกผ่านกระดูกและข้อ *
* การออกกำลังกาย ที่หักโหม เกินความพอดี อาจเป็นผลเสียได้ กรณีมีโรคประจำตัวร้ายแรงเช่น โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ, โรคหัวใจเต้นผิดปกติ, โรคหอบหืดที่กำลังกำเริบ เป็นต้น ซึ่งกรณีมีโรคประจำตัวดังกล่าวแล้วออกกำลังกาย เกินพอดี อาจทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ *
ขออธิบายเพิ่มเติมครับ
* การดื่มน้ำที่ถูกต้องไม่ใช่ดื่มกันวันละ 8-10 แก้วให้หมดในคราวเดียว *
* คำแนะนำนี้ใช้สำหรับบุคคลทั่วไป ยกเว้นในบางโรคประจำตัวที่ต้องจำกัดน้ำในแต่ละวัน เช่น โรคไตวายเรื้อรัง (chronic kidney disease), โรคหัวใจล้มเหลวเรื้อรัง (congestive heart failure) เป็นต้น*
* น้ำสะอาด ถือเป็นส่วนประกอบสำคัญของการมีสุขภาพที่ดี (ไม่รวมน้ำแบบปรุงแต่งนะครับ) *
รูปภาพอ้างอิงจาก Bangkok Hospital สามารถอ่านเพิ่มเติมใน link ด้านล่างครับ
Bangkok Hospital
หลังจากบทความล่าสุดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เป็นบทความที่เน้นเตือนถึงโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ avian influenza A ( H6N1 ) virus ซึ่งเป็นบทความที่มีศัพท์เฉพาะทางการแพทย์ค่อนข้างมาก
บทความฉบับนี้ จึงนำเสนอข้อมูลทางสุขภาพแบบใกล้ตัวมาฝากครับ ซึ่งถ้าสามารถทำได้อย่างสม่ำเสมอ นอกจากเป็นการเสริมสร้างสุขภาพทางจิตให้ดีแล้ว ยังสามารถป้องกันกลุ่มโรคเรื้อรังบางกลุ่มได้ด้วย
สามารถอ่านเพิ่มเติมที่ page ของโรงพยาบาลกรุงเทพ (แนบ link ไว้ที่ท้ายบทความ)
ขออธิบายเพิ่มเติมครับ
* แนะนำ การออกกำลังกายแบบ aerobic ที่เหมาะสมตามสรีรวิทยาของแต่ละคน เช่น การวิ่ง, เดินเร็ว, ปั่นจักรยาน, ว่ายน้ำ, รำมวยจีน หรือ การออกกำลังกายที่ fitness center (ยกเว้น การเพาะกาย, ยก weight นะครับ อันนี้ไม่อยู่ในเกณฑ์ของ aerobic exercise) เป็นต้น *
* โดยเป็นการออกกำลังกายที่มีระดับความเข้มข้นของการออกกำลังกายอยู่ในช่วงพอดี หรือที่ทางการแพทย์เรียกว่า Moderate intensity คือ เหมาะสมตามวัย (ไม่หักโหม หรือน้อยเกินไป), ระยะเวลาออกกำลังกายอย่างน้อยประมาณ 30 นาที ต่อครั้งต่อวัน และสม่ำเสมอ เช่น 3-4 วันต่อสัปดาห์ (ประมาณวันเว้นวัน ต่อสัปดาห์) แต่หากไม่สามารถทำได้ เนื่องจากข้อจำกัดเรื่องเวลาว่าง สามารถปรับให้เข้ากับ lifestyle ของตัวเองได้ครับ เน้นข้อสำคัญที่ การออกกำลังกายอย่างถูกวิธีครับ *
* สำหรับการออกกำลังกายแบบ aerobic ที่เหมาะสมตามสรีรวิทยาของแต่ละคน หมายความว่า บางโรคประจำตัวมีข้อจำกัดในการออกกำลังกาย ตัวอย่างเช่น โรคทางกระดูกและข้อ, โรคข้อเข่าเสื่อม (osteoarthritis of knee joint), หมอนรองกระดูกเคลื่อนกดทับเส้นประสาท (herniated nucleus pulposus) นั้นควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่ส่งแรงกระแทกไปที่รอยโรค (เช่น การวิ่งกลางแจ้ง) จึงขอแนะนำการออกกำลังกาย ที่มีแรงกระแทกผ่านกระดูกและข้อ น้อยลง เช่น ว่ายน้ำ, ปั่นจักรยาน หรือ หากจะวิ่ง ก็ควรวิ่งใน fitness center ที่มีเครื่องออกกำลังชนิดพิเศษในการลดแรงกระแทกผ่านกระดูกและข้อ *
* การออกกำลังกาย ที่หักโหม เกินความพอดี อาจเป็นผลเสียได้ กรณีมีโรคประจำตัวร้ายแรงเช่น โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ, โรคหัวใจเต้นผิดปกติ, โรคหอบหืดที่กำลังกำเริบ เป็นต้น ซึ่งกรณีมีโรคประจำตัวดังกล่าวแล้วออกกำลังกาย เกินพอดี อาจทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ *
ขออธิบายเพิ่มเติมครับ
* การดื่มน้ำที่ถูกต้องไม่ใช่ดื่มกันวันละ 8-10 แก้วให้หมดในคราวเดียว *
* คำแนะนำนี้ใช้สำหรับบุคคลทั่วไป ยกเว้นในบางโรคประจำตัวที่ต้องจำกัดน้ำในแต่ละวัน เช่น โรคไตวายเรื้อรัง (chronic kidney disease), โรคหัวใจล้มเหลวเรื้อรัง (congestive heart failure) เป็นต้น*
* น้ำสะอาด ถือเป็นส่วนประกอบสำคัญของการมีสุขภาพที่ดี (ไม่รวมน้ำแบบปรุงแต่งนะครับ) *
รูปภาพอ้างอิงจาก Bangkok Hospital สามารถอ่านเพิ่มเติมใน link ด้านล่างครับ
Bangkok Hospital
Friday, 15 November 2013
Disease outbreak news on 15th November, 2013
Human infection with avian influenza A ( H6N1 ) virus – update
Disease outbreak news
Today, Taiwan’s CDC published an epidemiological analysis of that case in The Lancet Respiratory Medicine, which highlights the need to be prepared for known novel influenza threats (like H5N1, H7N9, H3N2v), but also for something emerging from out of left field (which is exactly what happened with the swine-origin H1N1 pandemic virus of 2009).
Sung-Hsi Wei*, Ji-Rong Yang*, Ho-Sheng Wu*, Ming-Chuan Chang*, Jen-Shiou Lin, Chi-Yung Lin, Yu-Lun Liu, Yi-Chun Lo, Chin-Hui Yang, Jen-Hsiang Chuang, Min-Cheng Lin, Wen-Chen Chung, Chia-Hung Liao, Min-Shiuh Lee, Wan-Ting Huang, Pei-Jung Chen, Ming-Tsan Liu, Feng-Yee Chang
Background
Avian influenza A H6N1 virus is one of the most common viruses isolated from wild and domestic avian species, but human infection with this virus has not been previously reported. We report the clinical presentation, contact, and environmental investigations of a patient infected with this virus, and assess the origin and genetic characteristics of the isolated virus.
Methods
A 20-year-old woman with an influenza-like illness presented to a hospital with shortness of breath in May, 2013. An unsubtyped influenza A virus was isolated from her throat-swab specimen and was transferred to the Taiwan Centres for Disease Control (CDC) for identification. The medical records were reviewed to assess the clinical presentation. We did a contact and environmental investigation and collected clinical specimens from the case and symptomatic contacts to test for influenza virus. The genomic sequences of the isolated virus were determined and characterised.
Findings
The unsubtyped influenza A virus was identified as the H6N1 subtype, based on sequences of the genes encoding haemagglutinin and neuraminidase. The source of infection was not established. Sequence analyses showed that this human isolate was highly homologous to chicken H6N1 viruses in Taiwan and had been generated through interclade reassortment. Notably, the virus had a G228S substitution in the haemagglutinin protein that might increase its affinity for the human α2-6 linked sialic acid receptor.
Interpretation
This is the first report of human infection with a wild avian influenza A H6N1 virus. A unique clade of H6N1 viruses with a G228S substitution of haemagglutinin have circulated persistently in poultry in Taiwan. These viruses continue to evolve and accumulate changes, increasing the potential risk of human-to-human transmission. Our report highlights the continuous need for preparedness for a pandemic of unpredictable and complex avian influenza.
Funding
Taiwan Centres for Disease Control.
Reference สามารถอ่านเพิ่มเติมที่วารสารการแพทย์ The Lancet Respiratory Medicine
http://www.thelancet.com/journals/lanres/article/PIIS2213-2600(13)70221-2/abstract
Disease outbreak news
Today, Taiwan’s CDC published an epidemiological analysis of that case in The Lancet Respiratory Medicine, which highlights the need to be prepared for known novel influenza threats (like H5N1, H7N9, H3N2v), but also for something emerging from out of left field (which is exactly what happened with the swine-origin H1N1 pandemic virus of 2009).
Concerned infectious area
Model of avian influenza virus
Influenza virus and its components under the microscope
Abstract ใน The Lancet Respiratory Medicine Journal
Human infection with avian influenza A H6N1 virus: an epidemiological analysis
Sung-Hsi Wei*, Ji-Rong Yang*, Ho-Sheng Wu*, Ming-Chuan Chang*, Jen-Shiou Lin, Chi-Yung Lin, Yu-Lun Liu, Yi-Chun Lo, Chin-Hui Yang, Jen-Hsiang Chuang, Min-Cheng Lin, Wen-Chen Chung, Chia-Hung Liao, Min-Shiuh Lee, Wan-Ting Huang, Pei-Jung Chen, Ming-Tsan Liu, Feng-Yee Chang
Background
Avian influenza A H6N1 virus is one of the most common viruses isolated from wild and domestic avian species, but human infection with this virus has not been previously reported. We report the clinical presentation, contact, and environmental investigations of a patient infected with this virus, and assess the origin and genetic characteristics of the isolated virus.
Methods
A 20-year-old woman with an influenza-like illness presented to a hospital with shortness of breath in May, 2013. An unsubtyped influenza A virus was isolated from her throat-swab specimen and was transferred to the Taiwan Centres for Disease Control (CDC) for identification. The medical records were reviewed to assess the clinical presentation. We did a contact and environmental investigation and collected clinical specimens from the case and symptomatic contacts to test for influenza virus. The genomic sequences of the isolated virus were determined and characterised.
Findings
The unsubtyped influenza A virus was identified as the H6N1 subtype, based on sequences of the genes encoding haemagglutinin and neuraminidase. The source of infection was not established. Sequence analyses showed that this human isolate was highly homologous to chicken H6N1 viruses in Taiwan and had been generated through interclade reassortment. Notably, the virus had a G228S substitution in the haemagglutinin protein that might increase its affinity for the human α2-6 linked sialic acid receptor.
Interpretation
This is the first report of human infection with a wild avian influenza A H6N1 virus. A unique clade of H6N1 viruses with a G228S substitution of haemagglutinin have circulated persistently in poultry in Taiwan. These viruses continue to evolve and accumulate changes, increasing the potential risk of human-to-human transmission. Our report highlights the continuous need for preparedness for a pandemic of unpredictable and complex avian influenza.
Funding
Taiwan Centres for Disease Control.
Migratory birds get in contact with domestic birds, and transmit infection to them
Reference สามารถอ่านเพิ่มเติมที่วารสารการแพทย์ The Lancet Respiratory Medicine
http://www.thelancet.com/journals/lanres/article/PIIS2213-2600(13)70221-2/abstract
Thursday, 14 November 2013
World Diabetes Day
ข้างต้นเป็นคำกล่าวที่ชี้ให้เห็นว่า โรคเบาหวาน อยู่ไม่ไกลตัวเราเลย โดยเฉพาะในยุคสมัยปัจจุบัน" ในประเทศไทย และทั่วโลกพบว่า โรคเบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 Diabetes) เป็นชนิดที่เป็นมากกว่าชนิดอื่นๆ "
วันนี้ (วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤศจิกายน 2556) ถูกกำหนดให้เป็นวันสำคัญของโลกที่ควรตระหนักถึง โรคเบาหวาน (World Diabetes Day) จึงขอสรุปมุมมองในหลายๆ ด้านที่ควรตระหนักดังต่อไปนี้
โรคเบาหวาน หรือ Diabetes
โรคเบาหวาน เป็นภาวะที่ร่างกายมีน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ เกิดจากการขาดฮอร์โมน insulin หรือ จาการดื้อต่อฤทธิ์ของฮอร์โมน insulin ทําให้ร่างกายไม่สามารถนําน้ำตาลในเลือดไปใช้ได้ตามปกติ
น้ำตาลในเลือดที่สูงอยู่เป็นระยะเวลานานทําให้เกิดโรคแทรกซ้อนของอวัยวะต่างๆเช่น ตา, ไต, ระบบประสาท, โรคหลอดเลือดหัวใจ
ประเภทของ โรคเบาหวาน
สามารถแบ่งออกเป็น 2 ชนิด (กล่าวโดยทั่วไป ยกเว้นบางชนิด เช่นในผู้ตั้งครรภ์) ได้แก่
1. โรคเบาหวานชนิดที่ 1 สาเหตุเกิดจากภูมิต้านทานของร่างกายทำลายเซลล์ที่สร้างอินซูลินในตับอ่อน ทำให้ร่างกายหยุดการสร้างอินซูลิน ดังนั้นผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 จึงจำเป็นต้องฉีดอินซูลิน เพื่อควบคุมน้ำตาลในเลือดระยะยาว
2. โรคเบาหวานชนิดที่ 2 สาเหตุที่แท้จริงยังไม่ทราบชัดเจน แต่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพันธุกรรม นอกจากนี้ ยังมีความสัมพันธ์กับภาวะน้ำหนักตัวมาก การขาดการออกกำลังกาย และวัยที่เพิ่มขึ้น เซลล์ของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ร่างกายยังคงมีการสร้างอินซูลิน แต่ทำงานไม่เป็นปกติเนื่องจากมีภาวะดื้อต่ออินซูลิน ทำให้เซลล์ที่สร้างอินซูลินค่อยๆถูกทำลายไป บางคนเริ่มมีภาวะแทรกซ้อนโดยไม่รู้ตัว และต้องการยาในการรับประทาน และบางรายต้องใช้อินซูลินชนิดฉีด เพื่อควบคุมน้ำตาลในเลือด
อาการเบื้องต้น
ผู้เป็นโรคเบาหวานจะมีอาการเบื้องต้นคือ
1. ปวดปัสสาวะบ่อย ครั้งขึ้น เนื่องจากในกระแสเลือดและอวัยวะต่างๆมีน้ำตาลค้างอยู่มาก ไตจึงทำการกรองออกมาในปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะหวาน สังเกตุจากการที่มีมดมาตอมปัสสาวะ จึงเป็นที่มาของการเรียก เบาหวาน
2. ปัสสาวะกลางคืนบ่อยขึ้น
3. กระหายน้ำ และดื่มน้ำในปริมาณมากๆต่อครั้ง
4. อ่อนเพลีย เหนื่อยง่ายไม่มีเรี่ยวแรง
5. เบื่ออาหาร
6. น้ำหนักตัวลดโดยไม่ทราบสาเหตุ โดยเฉพาะถ้าหากน้ำหนักเคยมากมาก่อน อันเนื่องมาจากร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลไปสร้างพลังงานได้เต็มที่จึงต้องนำไขมันและโปรตีนจากกล้ามเนื้อมาใช้ทดแทน
7. ติดเชื้อบ่อยกว่าปรกติ เช่นติดเชื้อทางผิวหนังและกระเพาะอาหาร สังเกตุได้จากเมื่อเป็นแผลแล้วแผลจะหายยาก
8. สายตาพร่ามองไม่ชัดเจน
9. อาการชาไม่ค่อยมีความรู้สึก เนื่องมาจากเบาหวานจะทำลายเส้นประสาทให้เสื่อมสมรรถภาพลงความสามารถในการรับรู้ความรู้สึกจึงถดถอยลง
10. อาจจะมีอาการของโรคหัวใจ และโรคไต
โดย เบาหวานชนิดที่ 2 อาจจะมีอาการเหล่านี้บางอย่าง หรืออาจไม่มีอาการเหล่านี้เลย
" ในจำนวนผู้ป่วยโรคเบาหวาน 1 จาก 2 รายนั้นไม่ทราบว่าตัวเองกำลังเป็นโรคนี้อยู่ "
ลองตรวจสอบด้วยตัวเองตาม link
BLUE CIRCLE TEST blue circle test
อาการแทรกซ้อน
1. ภาวะแทรกซ้อนทางสายตา (Diabetic retinopathy)
เกิดจากการที่น้ำตาลเข้าไปใน endothelium ของ หลอดเลือดเล็กๆ ในลูกตา ทำให้หลอดเลือดเหล่านี้มีการสร้างไกลโคโปรตีนซึ่งจะถูกขนย้ายออกมาเป็น basement membrane มากขึ้น ทำให้ basement membrane หนา แต่เปราะ หลอดเลือดเหล่านี้จะฉีกขาดได้ง่าย เลือดและสารบางอย่างที่อยู่ในเลือดจะรั่วออกมา และมีส่วนทำให้ macula บวม ซึ่งจะทำให้เกิด Blurred vision หลอดเลือดที่ฉีกขาดจะสร้างแขนงของหลอดเลือดใหม่ออกมามากมายจนบดบังแสงที่มาตกกระทบยัง Retina ทำให้การมองเห็นของผู้ป่วยแย่ลง
2. ภาวะแทรกซ้อนทางไต (Diabetic nephropathy)
พยาธิสภาพของหลอดเลือดเล็กๆ ที่ glomeruli จะทำให้ nephron ยอมให้ albumin รั่วออกไปกับ filtrate ได้ proximal tubule จึงต้องรับภาระในการดูดกลับสารมากขึ้น ซึ่งถ้าเป็นนานๆ ก็จะทำให้เกิด renal failure ได้ ซึ่งผู้ป่วยมักจะเสียชีวิตภายใน 2- 3 ปี นับเข้าสู่ภาวะไตวายระยะสุดท้าย หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี
3. ภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาท (Diabetic neuropathy)
หากหลอดเลือดเล็กๆ ที่มาเลี้ยงเส้นประสาทบริเวณปลายมือปลายเท้าเกิดพยาธิสภาพ ก็จะทำให้เส้นประสาทนั้นไม่สามารถนำความรู้สึกต่อไปได้ เมื่อผู้ป่วยมีแผล ผู้ป่วยก็จะไม่รู้ตัว และไม่ดูแลแผลดังกล่าว ประกอบกับเลือดผู้ป่วยมีน้ำตาลสูง จึงเป็นอาหารอย่างดีให้กับเหล่าเชื้อโรค และแล้วแผลก็จะเน่า และนำไปสู่ Amputation ในที่สุด
4. โรคหลอดเลือดหัวใจ (Coronary vascular disease)
เบาหวาน เป็นตัวการที่จะเร่งให้เกิดการเสื่อมของหลอดเลือดทั่วร่างกายและเมื่อหลอดเลือดที่เลี้ยงหัวใจเสื่อมสภาพจาก เบาหวาน ประกอบกับการมีไขมันในเลือดสูง ก็จะส่งผลให้มีการตีบของหลอดเลือดหัวใจ ทำให้เกิด โรคหัวใจขาดเลือด แต่หากหลอดเลือดเกิดอุดตัน ก็จะเกิดอาการ กล้ามเนื้อหัวใจตาย ในผู้ป่วย เบาหวาน บางราย กล้ามเนื้อหัวใจมีการทำงานน้อยกว่าปกติ คือ มีการบีบตัวน้อยกว่าปกติอันเนื่องมาจาก เส้นเลือดฝอยเล็กๆที่เลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติจาก เบาหวาน ซึ่งจะทำการรักษาได้ยาก การรักษาที่ดีที่สุดคือ การผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ ปัญหาที่สำคัญมากอีกประการหนึ่งของผู้เป็น เบาหวาน คือผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจจะไม่แสดงอาการผิดปกติซึ่งจะบ่งชี้ว่าเป็นโรคหัวใจให้เห็นก่อน เช่นอาการเจ็บหน้าอก อันเป็นอาการเบื้องต้นของผู้ป่วยโรคหัวใจทั่วไป ดังนั้นผู้เป็น เบาหวาน บางรายอาจจะแสดงอาการครั้งแรกด้วยอาการที่รุนแรง เช่น กล้ามเนื้อหัวใจตาย หรือ หัวใจล้มเหลว ทำให้แพทย์วินิจฉัยโรคได้ช้ากว่าปกติ ซึ่งอาจเป็นอันตรายได้
5. โรคหลอดเลือดสมอง (Cerebrovascular disease)
6. โรคของหลอดเลือดส่วนปลาย (Peripheral vascular disease)
7. แผลเรื้อรังจากเบาหวาน (Diabetic ulcer)
ภาพข้างบนเป็นแนวทางการป้องกันโรคเบาหวาน ในผู้ที่ยังไม่แสดงโรค
แต่ในกลุ่มที่เป็นเบาหวานแล้ว แนวทางที่ดีที่สุด คือ ดูแลรักษาอย่างถูกวิธี และต่อเนื่องจนเป็นนิสัย, รวมทั้งควบคุมโรคเบาหวานเพื่อไม่ให้เกิดอาการแทรกซ้อนของโรคตามมา
การป้องกันไม่ให้เกิดอาการแทรกซ้อน ตัวอย่างแนวทางปฏิบัติ เช่น
1. ควบคุมน้ำตาลในเลือดให้อยู่ใกล้เคียงเกณฑ์ปกติ
2. ควบคุมโภชนาการ ให้มีความสมดุลทั้งในด้านโภชนาการ การออกกำลังกาย รวมไปจนถึงการใช้ยารักษาโรค
ลองอ่านเพิ่มเติมด้วยตัวเองตาม link
GLYCAEMIC INDEX WHEEL AND HEALTHY FOOD PLATE
glycaemic index wheel
3. ควรตรวจเช็คระดับน้ำตาลในเลือดสม่ำเสมอ โดยปรึกษาแพทย์ว่าควรตรวจเช็คเมื่อใด และ ระยะเวลาห่างในการตรวจที่เหมาะสม
4. ยาบางชนิดหรือยาสมุนไพร อาจมีผลต่อการควบคุมน้ำตาลในเลือด จะต้องปรึกษาแพทย์และเภสัชกรก่อนใช้ยา หรือ สมุนไพร เหล่านี้
Reference สามารถอ่านเพิ่มเติมที่
World Diabetes Today
WHO; Diabetes chapter
Wednesday, 13 November 2013
World Chronic Obstructive Pulmonary Disease Day
วันนี้ (วันพุธที่ 13 พฤศจิกายน 2556) ถูกกำหนดให้เป็นวันสำคัญของโลกที่ควรตระหนักถึง โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (World COPD Day) จึงขอนำประวัติความเป็นมา (แบบสั้น) ของโรคนี้มาฝากครับ
โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หรือ Chronic obstructive pulmonary disease (COPD)
โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ไม่ใช่โรคเดี่ยวๆ แต่เสมือนเป็นคำรวมที่ใช้อธิบายโรคปอดเรื้อรังชนิดที่มีสาเหตุจากการภาวะการจำกัดของลมหายใจเข้า (chronic lung diseases that cause limitations in lung airflow)
คำศัพท์การแพทย์ที่เคยใช้กันว่า COPD = "chronic bronchitis" หรือ "emphysema" นั้นไม่ได้ใช้แล้วในปัจจุบัน เพราะ "chronic bronchitis" และ "emphysema" ถือเป็นส่วนหนึ่งในการวินิจฉัยโรค COPD
โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หรือ Chronic obstructive pulmonary disease (COPD)
โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ไม่ใช่โรคเดี่ยวๆ แต่เสมือนเป็นคำรวมที่ใช้อธิบายโรคปอดเรื้อรังชนิดที่มีสาเหตุจากการภาวะการจำกัดของลมหายใจเข้า (chronic lung diseases that cause limitations in lung airflow)
ภาพแสดง anatomy ปอดของคนปกติ
ภาพแสดงภาวะ emphysema
ภาพแสดงภาวะ bronchitis
การอุดกั้นอย่างเรื้อรังของหลอดลมทั่วปอดทั้งสองข้าง โดยมีพยาธิสภาพเกิดขึ้นที่หลอดลมขนาดเล็กและที่ถุงลม เนื่องจากการสูบบุหรี่อย่างต่อเนื่องหลายปี หรือ สารมลพิษอื่นๆนั้น ก่อการระคายเคืองต่อหลอดลมและทำลายผนังถุงลม ทำให้เนื้อเยื่อซึ่งโยงยึดหลอดลมและถุงลมเสื่อมลง หลอดลมเล็กๆ ขาดการยึดโยงที่ดี จึงแฟบตัวได้ง่าย เกิดการอุดกั้นของอากาศที่ผ่านหลอดลมโดยเฉพาะในจังหวะของการหายใจออก ทำให้มีลมค้างอยู่ในถุงลมมากขึ้น (ถุงลมโป่งพอง) การมีลมค้างในถุงลมทำให้ผู้ป่วยสูดหายใจเข้าได้ไม่เต็มที่ และเกิดอาการเหนื่อยตามมา
อาการสำคัญที่พบบ่อย ในผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (The most common symptoms of COPD)
1. breathlessness or a "need for air" หายใจไม่ได้ตามปกติ
2. excessive sputum production ไอมีเสมหะมากผิดปกติ
3. chronic cough ไอเรื้อรัง
** อาการจะค่อยๆ เป็นมากขึ้นตามการเสื่อมของปอด และในที่สุดจะมีภาวะแทรกซ้อนหลายระบบตามมา จนกระทั่งเสียชีวิต **
Main risk factors for COPD
1. Tobacco smoking
2. Indoor air pollution (such as biomass fuel used for cooking and heating)
3. Outdoor air pollution
4. Occupational dusts and chemicals (vapors, irritants, and fumes)
แนวทางการป้องกันไม่ให้เกิดโรค โดยการหลีกเลี่ยงสาเหตุของโรค (เป็นหลักสำคัญ)
หากเป็นโรคแล้ว การดำเนินของโรคจะแตกต่างกันตามสาเหตุที่ได้รับไม่เท่ากัน
การดำเนินโรคมี 4 ขั้น ดังนี้
1. ขั้นแรก เป็นขั้นที่มีปัจจัยเสี่ยง และเริ่มมีการอุดกั้นของหลอดลมเล็กๆ ซึ่งเป็นระยะที่ผู้ป่วยยังไม่มีอาการ และพยาธิสภาพที่เกิดขึ้นในหลอดลมเล็กๆ เหล่านั้น สามารถกลับคืนสู่ปกติได้เมื่อหยุดรับสารพิษต่างๆ ดังกล่าวไว้ข้างต้น
2. ขั้นที่ 2 มีการอุดกั้นของหลอดลมและความเสื่อมของถุงลมชัดเจน ซึ่งทราบได้จากการตรวจสมรรถภาพปอด ในขั้นนี้ผู้ป่วยมีอาการไอและเหนื่อยไม่มาก
3. ขั้นที่ 3 ผู้ป่วยจะมีอาการไอและเหนื่อยมากขึ้น ผลการตรวจสมรรถภาพปอดเสื่อมลงอีก
4. ขั้นที่ 4 ผู้ป่วยมีการเสื่อมของหลอดลมและถุงลมมาก มีภาวะเสี่ยงที่จะเกิดการหายใจล้มเหลวขึ้น ระยะนี้ผู้ป่วยจำเป็นต้องพึ่งพาออกซิเจน, ต้องเตรียม oxygen ไปใช้ที่บ้าน (Home oxygen therapy)
Facts
According to the latest WHO estimates (2004), currently 64 million people have COPD and 3 million people died of COPD. WHO predicts that COPD will become the third leading cause of death worldwide by 2030
ด้วยเหตุนี้ องค์การอนามัยโลก และองค์การโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง แห่งโลก จึงได้ร่วมกันกำหนดให้มีวันโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โลก (World COPD Day) ขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยกำหนดให้วันพุธสัปดาห์ที่ 2 หรือ 3 ของเดือนพฤศจิกายนเป็นวันดังกล่าว เพื่อกระตุ้นเตือนให้ตระหนักถึงอันตรายจากโรคดังกล่าว
Reference สามารถอ่านเพิ่มเติมที่
Monday, 11 November 2013
Disease outbreak news on 11th November, 2013
Middle East respiratory syndrome coronavirus (MERS-CoV) - update
Disease outbreak news
Diagram, show viral replication mechanism
Disease outbreak news
11 NOVEMBER 2013 - WHO has been informed of two additional laboratory-confirmed cases of infection with Middle East respiratory syndrome coronavirus (MERS-CoV) in Saudi Arabia.
Concerned infectious area
The first patient is a 72-year-old man from Riyadh with underlying medical conditions. He became ill on 23 October 2013, and has been hospitalised since 31 October 2013. The second patient is a 43-year-old man from Jeddah. He became ill on 27 October 2013 and has been hospitalised since 3 November 2013.
Globally, from September 2012 to date, WHO has been informed of a total of 153 laboratory-confirmed cases of infection with MERS-CoV, including 64 deaths.
Virology morphology
Virology morphology
Based on the current situation and available information, WHO encourages all Member States to continue their surveillance for severe acute respiratory infections (SARI) and to carefully review any unusual patterns.
Health care providers are advised to maintain vigilance. Recent travellers returning from the Middle East who develop SARI should be tested for MERS-CoV as advised in the current surveillance recommendations.
Patients diagnosed and reported to date have had respiratory disease as their primary illness. Diarrhoea is commonly reported among the patients and severe complications include renal failure and acute respiratory distress syndrome (ARDS) with shock. It is possible that severely immunocompromised patients can present with atypical signs and symptoms.
Diagram, show viral replication mechanism
Health care facilities are reminded of the importance of systematic implementation of infection prevention and control (IPC). Health care facilities that provide care for patients suspected or confirmed with MERS-CoV infection should take appropriate measures to decrease the risk of transmission of the virus to other patients, health care workers and visitors.
All Member States are reminded to promptly assess and notify WHO of any new case of infection with MERS-CoV, along with information about potential exposures that may have resulted in infection and a description of the clinical course. Investigation into the source of exposure should promptly be initiated to identify the mode of exposure, so that further transmission of the virus can be prevented.
WHO does not advise special screening at points of entry with regard to this event nor does it currently recommend the application of any travel or trade restrictions.
WHO has convened an Emergency Committee under the International Health Regulations (IHR) to advise the Director-General on the status of the current situation. The Emergency Committee, which comprises international experts from all WHO Regions, unanimously advised that, with the information now available, and using a risk-assessment approach, the conditions for a Public Health Emergency of International Concern (PHEIC) have not at present been met.
Reference from WHO, Global Alert and Response (GAR) wrote on 11th November, 2013
Friday, 8 November 2013
การแปลผลตรวจทางห้องปฏิบัติการขั้นพื้นฐาน (Basic laboratory interpretation)
ในทางการแพทย์มีการตรวจทางห้องปฏิบัติการมากมายหลายชนิดซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการตรวจหลายระดับตั้งแต่ การตรวจสุขภาพทั่วไป จนถึง การส่งตรวจเพื่อรักษาผู้ป่วยวิกฤต ใน ICU
บทความ version แรกนี้ มีวัตถุประสงค์ สำหรับการดูประกอบกับผลตรวจสุขภาพทั่วไปเท่านั้น
อย่างไรก็ตามคำอธิบายนี้ได้เขียนอย่างสั้นๆ หากมีข้อสงสัย สามารถปรึกษาได้ผ่านทางกระดานข้อความครับ
1. Complete Blood Count [CBC]
เป็นการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดโลหิตขั้นพื้นฐาน
Hemoglobin [Hb] เป็นตัวนำพาออกซิเจนไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย
ถ้ามีค่า hemoglobin ต่ำ อาจมีสาเหตุจาก โรคโลหิตจาง (มีหลายประเภท), ขาดเกลือแร่ หรือ วิตามิน เช่น Iron, Vitamin B12, โรคตับแข็ง, ภาวะเสียเลือดปริมาณมากๆ ในครั้งเดียว หรือ เสียเลือดทีละน้อย แต่เรื้อรัง เป็นต้น ** การหาสาหตุควรปรึกษาแพทย์ต่อไป **
RBC count [red blood cell count] แปลว่า จำนวนเซลเม็ดเลือดแดงซึ่งนับกันเป็นล้านตัวต่อหน่วยไมโครลิตร
MCV [mean corpuscular volume] แปลว่า ปริมาตรเฉลี่ยของเม็ดเลือดแดงหนึ่งเม็ด เป็นตัวบอกว่าเม็ดเลือดแดงมีขนาดเม็ดใหญ่ หรือเม็ดเล็ก
MCH [mean corpuscular hemoglobin] แปลว่า น้ำหนักเฉลี่ยของ Hemoglobin ซึ่งเป็นตัวพาออกซิเจนในเม็ดเลือดหนึ่งเม็ด
MCHC [mean corpuscular hemoglobin concentration] แปลว่า ความเข้มข้นเฉลี่ยของ Hemoglobin ในเม็ดเลือดแดงหนึ่งเม็ด หรือพูดอีกอย่างว่าคือค่าบอกสัดส่วนของฮีโมโกลบินต่อปริมาตรเม็ดเลือด
RDW [red cell distribution width] แปลว่า ค่าความแปรปรวน (SD) ของขนาดเม็ดเลือดแดง เป็นตัวเลขที่บอกว่าเม็ดเลือดแดงมีรูปร่างผิดปกติ เล็กๆใหญ่ๆ ปะปนกันมากหรือไม่
White Blood Cells เป็นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
หลังได้รับสิ่งแปลกปลอม หรือ micro-organism ในร่างกายที่ตอบสนองตามปกติ
จะมีเม็ดเลือดขาว * ตัวหลัก *ที่ตอบสนอง โดยแจกแจงตามชนิดของเม็ดเลือดขาว ดังต่อไปนี้
Neutrophil เม็ดเลือดขาวที่คอยกำจัด micro-organism กลุ่ม bacteria
พบ%สูงกว่าปกติ ได้ในภาวะ acute bacterial infection
Lymphocyte เม็ดเลือดขาวที่คอยกำจัด micro-organism กลุ่ม virus
พบ%สูงกว่าปกติ ได้ในภาวะ acute viral infection
Monocyte เม็ดเลือดขาวที่คอยกำจัด micro-organism กลุ่ม bacteria, virus
พบ%สูงกว่าปกติ ได้ในภาวะ acute bacterial infection, acute viral infection, chronic inflammation
Eosinophil เม็ดเลือดขาวที่คอยกำจัด organism กลุ่ม parasite, ปฏิกิริยาการอักเสบ (inflammatory reaction)
พบ%สูง ได้ในภาวะภูมิแพ้ต่างๆ, การอักเสบ (inflammation) ต่างๆ
Basophil เม็ดเลือดขาวที่คอยกำจัด organism กลุ่ม parasite, ปฏิกิริยาการอักเสบ (inflammatory reaction)
พบ%สูง ได้ในภาวะภูมิแพ้ต่างๆ, การอักเสบ (inflammation) ต่างๆ
Platelets เป็นส่วนประกอบสำคัญในกระบวนการแข็งตัวของเลือด ขณะที่มีบาดแผลเลือดไหล
2. Kidney function from blood test
เป็นการตรวจการทำงานของไตขั้นพื้นฐาน
โดยการเจาะเลือดดูค่า BUN, Creatinine [Cr] โดยค่า Creatinine ไม่ควรสูงกว่าค่าอ้างอิง
ค่า Creatinine ที่สูงกว่าค่าอ้างอิง นั้นบ่งชี้การทำงานของไตที่แย่ลง
3. Liver function test [LFT]
เป็นการตรวจการทำงานของไตขั้นพื้นฐาน โดยการเจาะเลือดดูค่า
Asparate aminotransferase [AST] หรือ serum glutamic-oxaloacetic transaminase [SGOT]
เป็นเอนไซน์ที่อยู่ในเนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกาย เช่น จากหัวใจ, ตับ, ตับอ่อน, กล้ามเนื้อ, ไต, สมอง
เมื่อเซลล์ในกลุ่มเนื้อเยื่อดังกล่าวถูกทำลาย, เอนไซน์นี้จะหลุดเข้าสู่ระบบหมุนเวียนโลหิต
ตัวอย่างในโรคตับ ที่มีค่า AST สูง เช่น โรคติดเชื้อไวรัส acute hepatitis A, B, C; รับประทานยาที่มีความเป็นพิษต่อตับ / แอลกอฮอล์ หรือ สารปรุงแต่งอาหารในปริมาณมากเกินไป
Alanine transaminase [ALT] หรือ serum glutamic-pyruvic transaminase [SGPT]
เป็นเอนไซน์ที่อยู่ในเนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกาย เช่น จากตับ, ไต
เมื่อเซลล์ในกลุ่มเนื้อเยื่อดังกล่าวถูกทำลาย, เอนไซน์นี้จะหลุดเข้าสู่ระบบหมุนเวียนโลหิต
ตัวอย่างในโรคตับ ที่มีค่า ALT สูง เช่น โรคติดเชื้อไวรัส acute hepatitis A, B, C; รับประทานยาที่มีความเป็นพิษต่อตับ / แอลกอฮอล์ หรือ สารปรุงแต่งอาหารในปริมาณมากเกินไป
Alkaline phosphatase [ALP]
เป็นเอนไซน์ที่อยู่ในเนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกาย เช่น จากเซลล์สร้างกระดูก (osteoblast), รก, ตับ, ท่อน้ำดี (bile duct)
เมื่อเซลล์ในกลุ่มเนื้อเยื่อดังกล่าวถูกทำลาย, เอนไซน์นี้จะหลุดเข้าสู่ระบบหมุนเวียนโลหิต
ตัวอย่างในโรคตับ และทางเดินน้ำดี ที่มีค่า ALP สูง เช่น ภาวะท่อน้ำดีถูกอุดกลั้น (ตัวอย่าง โรคพยาธิในตับและทางเดินน้ำดี, นิ่วในทางเดินน้ำดี, เนื้องอกส่วนตับ และทางเดินน้ำดี)
Gamma glutamyl transpeptidase [GGT]
เป็นค่าเอนไซน์ที่เฉพาะเจาะจงต่อ การบ่งบอกภาวะการทำลายตับ ถึงแม้จะเป็นการทำลายที่ยังไม่แสดงอาการให้พบรอยโรค, มีประโยชน์ในการทำนายสภาวะที่ AST มีค่าปกติ แต่ ALT สูงกว่าปกติ
ตัวอย่างโรคตับ ที่มีค่า GGT สูง เช่น ภาวะตับถูกทำลายจากเครื่องดื่มจำพวก alcohol
Bilirubin เป็น metabolite จาก metabolism ของร่างกาย (เริ่มต้นจาการสลาย Heme ซึ่งเป็นส่วนประกอบของ hemoglobin ในเม็ดเลือดแดง)
หากมีค่าสูง จะพบอาการตัวเหลืองตาเหลืองได้
ตัวอย่างในโรคตับ และทางเดินน้ำดี เช่น โรคนิ่วในทางเดินน้ำดี, ตับแข็ง, เนื้องอกส่วนตับ และทางเดินน้ำดี
ตัวอย่างในโรคที่ไม่เกี่ยวกับตับโดยตรง เช่น การแตกสลายของเม็ดเลือดแดงปริมาณมาก จากภาวะเลือดออกภายในช่องท้อง, hemolytic anemia
Albumin เป็นโปรตีนที่ร่างกายสังเคราะห์จากตับ เป็นองค์ประกอบสำคัญในร่างกาย โดยเฉพาะระบบโลหิต หากมีค่าต่ำเรื้อรัง ทำให้ความดันโลหิตต่ำ, มีการบวมน้ำผิดปกติเช่น ท้องมานน้ำ ขาบวมผิดรูป
ตัวอย่างโรคตับที่เสื่อมสภาพ เช่น ตับแข็ง, เนื้องอกส่วนตับ
4. Fasting blood sugar [FBS] หรือ Fasting plasma glucose [FPG]
เป็น 1 ในหลายๆ การตรวจการทำงานของตับอ่อนขั้นพื้นฐาน
โดยการเจาะเลือดดูค่า Fasting Blood Sugar (FBS) นั้นอาศัยการอดอาหาร 8 ถึง 12 ชั่วโมง เพื่อดูประสิทธิภาพการทำงานของ hormone insulin ซึ่งร่างกายสังเคราะห์ได้จากตับอ่อนเพียงแห่งเดียว
หากผลการตรวจ อยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่ ผู้เข้าตรวจรู้สึกเคยมีอาการผิดปกติ หรือ ในครอบครัวมีโรคดังกล่าวนี้ พิจารณาปรึกษาแพทย์ต่อไป เพราะ ค่า FBS มีความผันแปรได้ ตามมื้ออาหารก่อนวันที่มาตรวจเลือด (หากผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน นั้นได้คุมอาหารอย่างดีในช่วง 2-3 วันก่อนตรวจเลือด ผลเลือดก็สามารถออกมาอยู่ในช่วงปกติได้)
หลังปรึกษาแพทย์แล้ว จะได้ตรวจเพิ่มเติมต่อไป เช่น
Postprandial glucose test (PC): 2 ชั่วโมงหลังทานอาหาร
Glucose tolerance test: continuous testing
Random glucose test
หรือ HbA1C ตามโอกาสต่อไป
สามารถอ่านความรู้เรื่องโรคเบาหวานฉบับที่ 1 เพิ่มเติมตาม link ด้านล่างนี้
world-diabetes-day
5. Lipid profile
เป็นการตรวจปริมาณของไขมันในเลือดขั้นพื้นฐาน โดยแบ่งชนิดของ lipid ได้ดังนี้
Total Cholesterol
เป็นสารองค์ประกอบสำคัญของเซลล์ และยังทำหน้าที่เป็น precursor ในกระบวนการสำคัญต่างๆ เช่น การสังเคราะห์ steroid hormones, bile acids และ vitamin D
แต่การมีค่าสูงผิดปกตินั้นเป็นผลเสียต่อร่างกาย
ตัวอย่างโรคที่ผล Cholesterol สูงผิดปกติ เช่น Hypercholesterolemia
Triglyceride
เป็นสารองค์ประกอบสำคัญของสาร very-low-density lipoprotein (VLDL) และ chylomicrons
ทำหน้าที่ ในกระบวนการ metabolism เพื่อให้พลังงาน และยังเป็นตัวขนส่งของโมเลกุลไขมันในร่างกาย
แต่การมีค่าสูงผิดปกตินั้นเป็นผลเสียต่อร่างกาย
ตัวอย่างโรคที่ผล Triglyceride สูงผิดปกติ เช่น Hypertriglyceridemia ซึ่งเป็นตัวส่งเสริมการเกิดโรคร้ายต่างๆ ตามมา เช่น atherosclerotic heart disease, ischemic stroke
LDL [Low-density lipoprotein]
เป็นสารองค์ประกอบสำคัญ 1 ใน 5 ของกลุ่ม lipoproteins ทำหน้าที่ เป็นตัวขนส่งของโมเลกุลไขมันในร่างกาย
แต่การมีค่าสูงผิดปกตินั้นเป็นผลเสียต่อร่างกาย
ตัวอย่างโรคที่ผล LDL สูงผิดปกติ เช่น Dyslipidemia
HDL [High-density lipoprotein]
เป็นสารองค์ประกอบสำคัญ 1 ใน 5 ของกลุ่ม lipoproteins ทำหน้าที่ เป็นตัวขนส่งของโมเลกุลไขมันในร่างกาย
6. Hepatitis A, B, C
การติดเชื้อ hepatitis จากเชื้อไวรัส บางกลุ่มสามารถรักษาหายได้ และ บางกลุ่มไม่สามารถรักษาให้หายขาด โดยยังคงสถานะเป็น carrier of disease อยู่
Anti HAV IgM Ab เป็นการตรวจหา antibody ต่อไวรัสตับอักเสบชนิดเอ แบบ acute infection
หากผล positive แนะนำพบแพทย์ทันที เพื่อทำการรักษาโรคต่อไป
Anti HAV IgG Ab เป็นการตรวจหา antibody ต่อไวรัสตับอักเสบชนิดเอ
หากผล positive แสดงว่า เคยได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดเอ มาก่อน
HBs Ag เป็นการตรวจหาส่วนประกอบของไวรัสตับอักเสบชนิดบี
หากผล positive แนะนำปรึกษาแพทย์ต่อไป เพื่อทำการรักษาตามระยะของโรค โดยเจาะเลือดเพิ่มเติม เพื่อหาจำนวนเชื้อ (viral load) ไวรัสตับอักเสบชนิดบี
Anti HBs Ab เป็นการตรวจหา antibody ต่อไวรัสตับอักเสบชนิดบี
หากผล positive แสดงว่า มีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสตับอักเสบชนิดบี *ณ ช่วง เวลานั้น*
ภูมิคุ้มกันต่อไวรัสตับอักเสบชนิดบี จะลดลงตามกาลเวลา ดังนั้นควรรับ booster vaccine ตามช่วงเวลาที่เหมาะสม
Anti HBc Ab เป็นการตรวจหา antibody ต่อไวรัสตับอักเสบชนิดบี
หากผล positive แสดงว่า เคยได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบี มาก่อน
Anti HCV Ab เป็นการตรวจหา antibody ต่อไวรัสตับอักเสบชนิดซี
หากผล positive แนะนำปรึกษาแพทย์ต่อไป
7. Thyroid function test [TFT]
TSH (Thyroid stimulating hormone) เป็นฮอร์โมนที่สร้างจากต่อมใต้สมอง เพื่อมากระตุ้นการทำงานของต่อมไทรอยด์ต่อไป
FT3 (Free triiodothyronine) เป็นฮอร์โมนที่สร้างจากต่อมไทรอยด์
FT4 (Free thyroxine) เป็นฮอร์โมนที่สร้างจากต่อมไทรอยด์
8. Urine analysis [UA]
Color ในประเด็นสีของปัสสาวะนี้ สามารถจำแนกลักษณะได้หลายประการ เช่น
หากเป็นเฉดสีเหลืองอ่อนๆ รวมทั้งสี Amber (สีทองอำพัน) ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ
หากเป็นสีเหลืองเข้ม สาเหตุเช่น ในภาวะร่างกายอาจขาดน้ำ, หรืออาจผิดปกติในภาวะดีซ่าน (มี metabolite ของน้ำดี ออกมาในปัสสาวะ)
ถ้าเป็นสีส้มหรือสีแดง (โดยอยู่ในเกณฑ์ปกติ กรณีอยู่ในช่วงมีประจำเดือน) นอกนั้นถือว่าอยู่ในเกณฑ์ผิดปกติ โดยน่าจะมีเลือดปนในปัสสาวะ สาเหตุเช่น การอักเสบของทางเดินปัสสาวะ, นิ่ว, การติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ, เนื้องอกในทางเดินปัสสาวะ หรือ ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด (ซึ่งพอหยุดยาแล้ว อาการหายไปได้เอง) เป็นต้น
ถ้าเป็นปัสสาวะสีคล้ายโค้ก (หมายถึงสีน้ำตาลดำแบบเป๊บซี่โคล่า) หมายถึงการมีเม็ดเลือดแตกสลายในร่างกายแล้วถูกขับออกมาในปัสสาวะ เช่น มีโรคประจำตัว G6PD มักจะมีอาการเม็ดเลือดแดงแตกง่าย, หรือ ในคนปกติที่ติดเชื้อ เช่น malaria ก็ทำให้เม็ดเลือดแดงแตกได้ คนสมัยก่อนถึงได้เรียกมาเลเรียว่า “ไข้ปัสสาวะดำ”
Clarity หมายถึง ความใสของปัสสาวะอยู่ระดับไหน
ถ้าใสก็รายงานว่า clear ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ
ถ้าขุ่นก็รายงานว่า Turbid การมีปัสสาวะขุ่นถือเป็นความผิดปกติอย่างหนึ่ง สาเหตุเช่น ร่างกายกำลังขาดน้ำอยู่, มีการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ, โมเลกุลสารเคมีต่างๆ รั่วออกมาในปัสสาวะ (ตัวอย่างโปรตีน น้ำตาล คีโตน ฯลฯ โดยสารเคมีแต่ละตัวที่รั่วออกมาเป็นตัวบ่งบอกว่าน่าจะเป็นโรคอะไร) เป็นต้น
Sp.Gr [specific gravity] หมายถึง ความถ่วงจำเพาะ
หมายถึงความหนาแน่นของน้ำปัสสาวะเมื่อเทียบกับน้ำบริสุทธิ์ คือน้ำบริสุทธิ์โดยนิยามมีความถ่วงจำเพาะเท่ากับ 1.0
ถ้าค่ายิ่งสูงมาก แสดงว่า ภาวะร่างกายกำลังขาดน้ำมากขึ้น (แปรผันตามตัวเลขที่มากขึ้น)
แต่หากมีค่าต่ำเรื้อรัง เช่น 1.005 สาเหตุเช่น มีโรคประจำตัวเบาจืด (diabetes insipidus)
pH หมายถึง ค่าความเป็นกรดเป็นด่าง ของปัสสาวะ
ของเหลวทั่วไปที่เป็นกลาง ไม่เปรี้ยว ไม่ฝาด (ไม่เป็นกรดหรือด่าง) ค่า pH จะเท่ากับ 7.0
ปัสสาวะของคนเรา ตามธรรมชาติ เป็นกรดอ่อน ๆ
หากมีค่าที่เป็นกรด หรือ ด่างมากกว่าปกติ (ไม่อยู่ในสมดุลตามธรรมชาติ) อาจพบนิ่วในทางเดินปัสสาวะได้
Protein หมายถึง โมเลกุลโปรตีน ที่รั่วออกมาในปัสสาวะ
Negative แปลว่าไม่มี โปรตีน รั่วออกมาในปัสสาวะ
Positive แปลว่า การมี โปรตีน รั่วออกมาในปัสสาวะ โดยมีหลายระดับตั้งแต่ + (เล็กน้อย) ไปจนถึง ++++ (มากผิดปกติ) โดยแจกแจงดังต่อไปนี้
1. ระดับเล็กน้อย สาเหตุเช่น การออกกำลังกายเกินตัว (extreme exercise) ทำให้ protein breakdown จำนวนมาก เป็นต้น
2. ระดับปานกลางถึงมาก สาเหตุเช่น โรคไตอักเสบ, มีโรคประจำตัว nephrotic syndrome, มีโรคประจำตัวโรคไตเรื้อรัง เป็นต้น
Glucose หมายถึง โมเลกุลน้ำตาลกลูโคส ที่รั่วออกมาในปัสสาวะ
Negative แปลว่าไม่มี น้ำตาลกลูโคส รั่วออกมาในปัสสาวะ
Positive แปลว่า การมี น้ำตาลกลูโคส รั่วออกมาในปัสสาวะ โดยมีหลายระดับตั้งแต่ + (เล็กน้อย) ไปจนถึง ++++ (มากผิดปกติ) โดยแจกแจงดังต่อไปนี้
1. ระดับเล็กน้อย สาเหตุเช่น ในคนปกติที่รับประทานอาหาร และ/หรือเครื่องดื่ม ที่มีน้ำตาลปริมาณมากๆ
2. ระดับปานกลางถึงมาก สาเหตุเช่น มีโรคประจำตัว เบาหวาน เป็นต้น
Ketone หมายถึง โมเลกุลketone ที่รั่วออกมาในปัสสาวะ
ก่อนอืนขออธิบาย Ketone ก่อนนะครับ
คือปกติกระบวนการขับเคลื่อนร่างกายของเรานี้จะต้องมีเม็ดพลังที่เรียกว่าอะเซติลโคเอ (Acetyl CoA) ไปช่วย cell ต่างๆ ทำงาน จึงจะมีชีวิตปกติอยู่ได้
การจะได้เม็ดพลังนี้มามี 2 ทางเท่านั้น 1 คือย่อยโมเลกุลกลูโคสเอาเม็ดพลัง 2 คือย่อยโมเลกุล ketone เอาเม็ดพลัง
ปกติร่างกายจะใช้กลูโคส เพราะเราได้มาง่ายๆจากอาหารคาร์โบไฮเดรตเช่นน้ำตาล และแป้ง
แต่ถ้าไม่มีกลูโคส ตับจึงจะสลายไขมัน ทั้งไขมันที่กินเข้าไปหรือไขมันที่สะสมไว้ ออกมาเป็นกรดไขมันอิสระ (free fatty acid หรือ FAA) แล้วสลายต่อไปเป็น ketone เมื่อได้ ketone แล้วก็เอาไปให้ cell ใช้เป็นเม็ดพลัง ซึ่งหากมีมากเกินไป ทำให้ต้องระบายออกมาทางลมหายใจเป็นกลิ่นน้ำยาล้างเล็บ หรือไม่ก็ระบายออกไปทางปัสสาวะ
การที่มี ketone มากจนต้องระบายทิ้งเช่นนี้ไม่ใช่ภาวะปกติ ต้องมีอะไรผิดพลาดสักอย่างหนึ่งที่ทำให้ไม่มีกลูโคสใช้ เช่น
# ภาวะขาดอาหาร (starvation)
# การลดความอ้วนด้วยสูตร No Carb (คือทานแต่เนื้อสัตว์, ผักแต่ไม่ทานคาร์โบไฮเดรตเลย)
# ภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน ซึ่งเซลร่างกายเอากลูโคสไปสลายเป็นเม็ดพลังไม่ได้ ทำให้แม้จะมีกลูโคสเหลือมาหกมาย แต่ร่างกายก็ใช้ไม่ได้ ต้องหันไปใช้ไขมันแทน
# ร่างกายขาดน้ำอย่างรุนแรง
# ร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บ เป็นต้น
Negative แปลว่าไม่มี ketone รั่วออกมาในปัสสาวะ
Positive แปลว่า การมี ketone รั่วออกมาในปัสสาวะ โดยมีหลายระดับตั้งแต่ + (เล็กน้อย) ไปจนถึง ++++ (มากผิดปกติ) โดยแจกแจงดังต่อไปนี้
1. ระดับเล็กน้อย สาเหตุเช่น การลดความอ้วนแบบผิดวิธี ดังกล่าวข้างต้น
2. ระดับปานกลางถึงมาก สาเหตุเช่น ภาวะขาดอาหารอย่างรุนแรง, ภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน ดังกล่าวข้างต้น
Bilirubin หมายถึง ผลิตภัณฑ์จากการสลาย Heme ซึ่งเป็นส่วนประกอบของ hemoglobin ในเม็ดเลือดแดง
Negative แปลว่าไม่มี Bilirubin รั่วออกมาในปัสสาวะ
Positive แปลว่า การมี Bilirubin รั่วออกมาในปัสสาวะ สาเหตุเช่น กำลังมีปัญหาดีซ่าน (จากตับอักเสบ, ทางเดินน้ำดีอุดตัน, เม็ดเลือดแดงแตกสลายจำนวนมาก) เป็นต้น
Leukocyte หมายถึง เม็ดเลือดขาว
Positive แปลว่า การมี เม็ดเลือดขาวในปัสสาวะ สาเหตุเช่น การอักเสบของทางเดินปัสสาวะ, การติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ เป็นต้น
Nitrite คือสารพวก nitrite ซึ่งปกติไม่มีในปัสสาวะ
Positive แปลว่า อยู่ในเกณฑ์ผิดปกติ สาเหตุเช่น ภาวะที่มีการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะจาก bacteria ชนิดที่สร้าง nitrite ได้ เป็นต้น
Microscopic Examination คือ การส่องกล้องจุลทรรศน์ดูปัสสาวะ Centrifuged 10 ml แปลว่าเอาปัสสาวะ 10 ซีซี.มาปั่นแล้วเอาตะกอนที่ปั่นได้มาส่องกล้องจุลทรรศน์
White blood cell คือ เม็ดเลือดขาวในปัสสาวะจากการดูผ่านกล้องจุลทรรศน์
ถ้ามีค่าสูงกว่าช่วงปกติ ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ผิดปกติ สาเหตุเช่น การอักเสบของทางเดินปัสสาวะ, การติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ เป็นต้น (แต่อาจอยู่ในเกณฑ์ปกติได้ กรณีอยู่ในช่วงมีประจำเดือน หรือ เก็บปัสสาวะผิดวิธี ทำให้มีการปนเปื้อนตั้งแต่ขั้นตอนดังกล่าว เป็นต้น)
Red blood cell คือ เม็ดเลือดแดงในปัสสาวะจากการดูผ่านกล้องจุลทรรศน์
ถ้ามีค่าสูงกว่าช่วงปกติ ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ผิดปกติ สาเหตุเช่น การอักเสบของทางเดินปัสสาวะ, นิ่ว, การติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ, เนื้องอกในทางเดินปัสสาวะ หรือ ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด (ซึ่งพอหยุดยาแล้ว อาการหายไปได้เอง) เป็นต้น (แต่อาจอยู่ในเกณฑ์ปกติ กรณีอยู่ในช่วงมีประจำเดือน)
Squamous epithelial cell คือ เซลเยื่อบุผิวในปัสสาวะจากการดูผ่านกล้องจุลทรรศน์
ถ้ามีค่าสูงกว่าช่วงปกติ สาเหตุเช่น การเก็บปัสสาวะผิดวิธี ทำให้มีการปนเปื้อนตั้งแต่ขั้นตอนดังกล่าว
ซึ่งจะทำให้ไม่สามารถแปลผลคุณภาพปัสสาวะได้ ต้องเก็บปัสสาวะตรวจใหม่
Bacteria ปกติปัสสาวะไม่ควรมี Bacteria เพราะ pH ของปัสสาวะเป็นกรด
Positive แปลว่า อยู่ในเกณฑ์ผิดปกติ สาเหตุเช่น การติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ เป็นต้น
แต่ถ้าเราปัสสาวะแล้วตั้งทิ้งไว้นานกว่าห้องแล็บจะมารับไปตรวจ, Bacteria ที่ปนเปื้อนจากสภาวะแวดล้อม อาจเจริญเติบโตในปัสสาวะได้เหมือนกัน เรียกว่าเป็นผลบวกเทียม หรือ เป็นความผิดพลาดทางเทคนิค
Amorphous คือ ผลึกสารต่างๆ ในปัสสาวะ เช่น amorphous urates, amorphous phosphates เป็นต้น
Positive แปลว่า การมี ผลึกสารต่างๆในปัสสาวะ โดยมีหลายระดับตั้งแต่ + (เล็กน้อย) ไปจนถึง ++++ (มากผิดปกติ) จากระยะเวลาถ้ามีมากถึงขนาดมากผิดปกติเป็นเวลานาน ก็จะกลายเป็นนิ่วได้
9. Lipid and water soluble antioxidants
เป็นการตรวจตามหลัก anti-aging medicine
ในส่วนนี้ค่อนข้างยาวประมาณ 4-10 หน้า สามารถอ่านเพิ่มเติมที่ บทความฉบับใหม่
10. Stool examination
Color ตัวอย่างเช่น
หากเป็นสีเหลือง ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ
หากเป็นสีเขียว สาเหตุของความผิดปกติเช่น ในภาวะดีซ่าน (มี metabolite ของน้ำดี ออกมาในอุจจาระ) โดยไม่นับการทานผักสีเขียว ซึ่งกรณีนี้จะมีกากใยสีเขียวปนในเนื้ออุจจาระออกมาตามภาวะปกติ
ถ้าเป็นสีแดง หรือ สีแดงดำ สาเหตุเช่น ภาวะเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนต้น, ส่วนปลาย, และ/หรือ ทั้ง 2 ส่วน เป็นต้น
Oval & Parasite คือ การส่องกล้องจุลทรรศน์ดูอุจจาระ
Found or Positive แปลว่า อยู่ในเกณฑ์ผิดปกติ สาเหตุตามชนิดพยาธิที่ระบุในผลตรวจ
Not found or Negative แปลว่า อยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่อย่างไรก็ตามอาจเป็นผลลบลวง กล่าวคือ เพิ่งรับเชื้อพยาธิมาไม่กี่วัน, เป็นพยาธิกลุ่มที่ตรวจหายากด้วยวิธีปกติ หรือเป็นพยาธิที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในทางเดินอาหารช่วงนั้น
ดังนั้น การป้องกันจึงเป็นแนวทางที่ดีที่สุด ตัวอย่างเช่น การรับประทานอาหารตามสุขอนามัย หลีกเลี่ยงของดิบ หรือ สุกๆ ดิบๆ, ทำความสะอาดร่างกาย, ใส่รองเท้าเวลาสัมผัสพื้นดิน เป็นต้น
11. Chest x-ray [CXR]
สามารถอ่านเพิ่มเติมที่ บทความฉบับใหม่
12. Other imaging
สามารถอ่านเพิ่มเติมที่ บทความฉบับใหม่
13. Bone Density Scan [DXA]
สามารถอ่านเพิ่มเติมที่ บทความฉบับใหม่
14. Electrocardiography [EKG 12 leads]
สามารถอ่านเพิ่มเติมที่ บทความฉบับใหม่
15. Exercise stress test [EST]
สามารถอ่านเพิ่มเติมที่ บทความฉบับใหม่
16. Echocardiography
บทความ version แรกนี้ มีวัตถุประสงค์ สำหรับการดูประกอบกับผลตรวจสุขภาพทั่วไปเท่านั้น
อย่างไรก็ตามคำอธิบายนี้ได้เขียนอย่างสั้นๆ หากมีข้อสงสัย สามารถปรึกษาได้ผ่านทางกระดานข้อความครับ
1. Complete Blood Count [CBC]
เป็นการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดโลหิตขั้นพื้นฐาน
Hemoglobin [Hb] เป็นตัวนำพาออกซิเจนไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย
ถ้ามีค่า hemoglobin ต่ำ อาจมีสาเหตุจาก โรคโลหิตจาง (มีหลายประเภท), ขาดเกลือแร่ หรือ วิตามิน เช่น Iron, Vitamin B12, โรคตับแข็ง, ภาวะเสียเลือดปริมาณมากๆ ในครั้งเดียว หรือ เสียเลือดทีละน้อย แต่เรื้อรัง เป็นต้น ** การหาสาหตุควรปรึกษาแพทย์ต่อไป **
RBC count [red blood cell count] แปลว่า จำนวนเซลเม็ดเลือดแดงซึ่งนับกันเป็นล้านตัวต่อหน่วยไมโครลิตร
MCV [mean corpuscular volume] แปลว่า ปริมาตรเฉลี่ยของเม็ดเลือดแดงหนึ่งเม็ด เป็นตัวบอกว่าเม็ดเลือดแดงมีขนาดเม็ดใหญ่ หรือเม็ดเล็ก
MCH [mean corpuscular hemoglobin] แปลว่า น้ำหนักเฉลี่ยของ Hemoglobin ซึ่งเป็นตัวพาออกซิเจนในเม็ดเลือดหนึ่งเม็ด
MCHC [mean corpuscular hemoglobin concentration] แปลว่า ความเข้มข้นเฉลี่ยของ Hemoglobin ในเม็ดเลือดแดงหนึ่งเม็ด หรือพูดอีกอย่างว่าคือค่าบอกสัดส่วนของฮีโมโกลบินต่อปริมาตรเม็ดเลือด
RDW [red cell distribution width] แปลว่า ค่าความแปรปรวน (SD) ของขนาดเม็ดเลือดแดง เป็นตัวเลขที่บอกว่าเม็ดเลือดแดงมีรูปร่างผิดปกติ เล็กๆใหญ่ๆ ปะปนกันมากหรือไม่
White Blood Cells เป็นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
หลังได้รับสิ่งแปลกปลอม หรือ micro-organism ในร่างกายที่ตอบสนองตามปกติ
จะมีเม็ดเลือดขาว * ตัวหลัก *ที่ตอบสนอง โดยแจกแจงตามชนิดของเม็ดเลือดขาว ดังต่อไปนี้
Neutrophil เม็ดเลือดขาวที่คอยกำจัด micro-organism กลุ่ม bacteria
พบ%สูงกว่าปกติ ได้ในภาวะ acute bacterial infection
Lymphocyte เม็ดเลือดขาวที่คอยกำจัด micro-organism กลุ่ม virus
พบ%สูงกว่าปกติ ได้ในภาวะ acute viral infection
Monocyte เม็ดเลือดขาวที่คอยกำจัด micro-organism กลุ่ม bacteria, virus
พบ%สูงกว่าปกติ ได้ในภาวะ acute bacterial infection, acute viral infection, chronic inflammation
Eosinophil เม็ดเลือดขาวที่คอยกำจัด organism กลุ่ม parasite, ปฏิกิริยาการอักเสบ (inflammatory reaction)
พบ%สูง ได้ในภาวะภูมิแพ้ต่างๆ, การอักเสบ (inflammation) ต่างๆ
Basophil เม็ดเลือดขาวที่คอยกำจัด organism กลุ่ม parasite, ปฏิกิริยาการอักเสบ (inflammatory reaction)
พบ%สูง ได้ในภาวะภูมิแพ้ต่างๆ, การอักเสบ (inflammation) ต่างๆ
Platelets เป็นส่วนประกอบสำคัญในกระบวนการแข็งตัวของเลือด ขณะที่มีบาดแผลเลือดไหล
2. Kidney function from blood test
เป็นการตรวจการทำงานของไตขั้นพื้นฐาน
โดยการเจาะเลือดดูค่า BUN, Creatinine [Cr] โดยค่า Creatinine ไม่ควรสูงกว่าค่าอ้างอิง
ค่า Creatinine ที่สูงกว่าค่าอ้างอิง นั้นบ่งชี้การทำงานของไตที่แย่ลง
3. Liver function test [LFT]
เป็นการตรวจการทำงานของไตขั้นพื้นฐาน โดยการเจาะเลือดดูค่า
Asparate aminotransferase [AST] หรือ serum glutamic-oxaloacetic transaminase [SGOT]
เป็นเอนไซน์ที่อยู่ในเนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกาย เช่น จากหัวใจ, ตับ, ตับอ่อน, กล้ามเนื้อ, ไต, สมอง
เมื่อเซลล์ในกลุ่มเนื้อเยื่อดังกล่าวถูกทำลาย, เอนไซน์นี้จะหลุดเข้าสู่ระบบหมุนเวียนโลหิต
ตัวอย่างในโรคตับ ที่มีค่า AST สูง เช่น โรคติดเชื้อไวรัส acute hepatitis A, B, C; รับประทานยาที่มีความเป็นพิษต่อตับ / แอลกอฮอล์ หรือ สารปรุงแต่งอาหารในปริมาณมากเกินไป
Alanine transaminase [ALT] หรือ serum glutamic-pyruvic transaminase [SGPT]
เป็นเอนไซน์ที่อยู่ในเนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกาย เช่น จากตับ, ไต
เมื่อเซลล์ในกลุ่มเนื้อเยื่อดังกล่าวถูกทำลาย, เอนไซน์นี้จะหลุดเข้าสู่ระบบหมุนเวียนโลหิต
ตัวอย่างในโรคตับ ที่มีค่า ALT สูง เช่น โรคติดเชื้อไวรัส acute hepatitis A, B, C; รับประทานยาที่มีความเป็นพิษต่อตับ / แอลกอฮอล์ หรือ สารปรุงแต่งอาหารในปริมาณมากเกินไป
Alkaline phosphatase [ALP]
เป็นเอนไซน์ที่อยู่ในเนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกาย เช่น จากเซลล์สร้างกระดูก (osteoblast), รก, ตับ, ท่อน้ำดี (bile duct)
เมื่อเซลล์ในกลุ่มเนื้อเยื่อดังกล่าวถูกทำลาย, เอนไซน์นี้จะหลุดเข้าสู่ระบบหมุนเวียนโลหิต
ตัวอย่างในโรคตับ และทางเดินน้ำดี ที่มีค่า ALP สูง เช่น ภาวะท่อน้ำดีถูกอุดกลั้น (ตัวอย่าง โรคพยาธิในตับและทางเดินน้ำดี, นิ่วในทางเดินน้ำดี, เนื้องอกส่วนตับ และทางเดินน้ำดี)
Gamma glutamyl transpeptidase [GGT]
เป็นค่าเอนไซน์ที่เฉพาะเจาะจงต่อ การบ่งบอกภาวะการทำลายตับ ถึงแม้จะเป็นการทำลายที่ยังไม่แสดงอาการให้พบรอยโรค, มีประโยชน์ในการทำนายสภาวะที่ AST มีค่าปกติ แต่ ALT สูงกว่าปกติ
ตัวอย่างโรคตับ ที่มีค่า GGT สูง เช่น ภาวะตับถูกทำลายจากเครื่องดื่มจำพวก alcohol
Bilirubin เป็น metabolite จาก metabolism ของร่างกาย (เริ่มต้นจาการสลาย Heme ซึ่งเป็นส่วนประกอบของ hemoglobin ในเม็ดเลือดแดง)
หากมีค่าสูง จะพบอาการตัวเหลืองตาเหลืองได้
ตัวอย่างในโรคตับ และทางเดินน้ำดี เช่น โรคนิ่วในทางเดินน้ำดี, ตับแข็ง, เนื้องอกส่วนตับ และทางเดินน้ำดี
ตัวอย่างในโรคที่ไม่เกี่ยวกับตับโดยตรง เช่น การแตกสลายของเม็ดเลือดแดงปริมาณมาก จากภาวะเลือดออกภายในช่องท้อง, hemolytic anemia
Albumin เป็นโปรตีนที่ร่างกายสังเคราะห์จากตับ เป็นองค์ประกอบสำคัญในร่างกาย โดยเฉพาะระบบโลหิต หากมีค่าต่ำเรื้อรัง ทำให้ความดันโลหิตต่ำ, มีการบวมน้ำผิดปกติเช่น ท้องมานน้ำ ขาบวมผิดรูป
ตัวอย่างโรคตับที่เสื่อมสภาพ เช่น ตับแข็ง, เนื้องอกส่วนตับ
4. Fasting blood sugar [FBS] หรือ Fasting plasma glucose [FPG]
เป็น 1 ในหลายๆ การตรวจการทำงานของตับอ่อนขั้นพื้นฐาน
โดยการเจาะเลือดดูค่า Fasting Blood Sugar (FBS) นั้นอาศัยการอดอาหาร 8 ถึง 12 ชั่วโมง เพื่อดูประสิทธิภาพการทำงานของ hormone insulin ซึ่งร่างกายสังเคราะห์ได้จากตับอ่อนเพียงแห่งเดียว
หากผลการตรวจ อยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่ ผู้เข้าตรวจรู้สึกเคยมีอาการผิดปกติ หรือ ในครอบครัวมีโรคดังกล่าวนี้ พิจารณาปรึกษาแพทย์ต่อไป เพราะ ค่า FBS มีความผันแปรได้ ตามมื้ออาหารก่อนวันที่มาตรวจเลือด (หากผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน นั้นได้คุมอาหารอย่างดีในช่วง 2-3 วันก่อนตรวจเลือด ผลเลือดก็สามารถออกมาอยู่ในช่วงปกติได้)
หลังปรึกษาแพทย์แล้ว จะได้ตรวจเพิ่มเติมต่อไป เช่น
Postprandial glucose test (PC): 2 ชั่วโมงหลังทานอาหาร
Glucose tolerance test: continuous testing
Random glucose test
หรือ HbA1C ตามโอกาสต่อไป
สามารถอ่านความรู้เรื่องโรคเบาหวานฉบับที่ 1 เพิ่มเติมตาม link ด้านล่างนี้
world-diabetes-day
5. Lipid profile
เป็นการตรวจปริมาณของไขมันในเลือดขั้นพื้นฐาน โดยแบ่งชนิดของ lipid ได้ดังนี้
Total Cholesterol
เป็นสารองค์ประกอบสำคัญของเซลล์ และยังทำหน้าที่เป็น precursor ในกระบวนการสำคัญต่างๆ เช่น การสังเคราะห์ steroid hormones, bile acids และ vitamin D
แต่การมีค่าสูงผิดปกตินั้นเป็นผลเสียต่อร่างกาย
ตัวอย่างโรคที่ผล Cholesterol สูงผิดปกติ เช่น Hypercholesterolemia
Triglyceride
เป็นสารองค์ประกอบสำคัญของสาร very-low-density lipoprotein (VLDL) และ chylomicrons
ทำหน้าที่ ในกระบวนการ metabolism เพื่อให้พลังงาน และยังเป็นตัวขนส่งของโมเลกุลไขมันในร่างกาย
แต่การมีค่าสูงผิดปกตินั้นเป็นผลเสียต่อร่างกาย
ตัวอย่างโรคที่ผล Triglyceride สูงผิดปกติ เช่น Hypertriglyceridemia ซึ่งเป็นตัวส่งเสริมการเกิดโรคร้ายต่างๆ ตามมา เช่น atherosclerotic heart disease, ischemic stroke
LDL [Low-density lipoprotein]
เป็นสารองค์ประกอบสำคัญ 1 ใน 5 ของกลุ่ม lipoproteins ทำหน้าที่ เป็นตัวขนส่งของโมเลกุลไขมันในร่างกาย
แต่การมีค่าสูงผิดปกตินั้นเป็นผลเสียต่อร่างกาย
ตัวอย่างโรคที่ผล LDL สูงผิดปกติ เช่น Dyslipidemia
HDL [High-density lipoprotein]
เป็นสารองค์ประกอบสำคัญ 1 ใน 5 ของกลุ่ม lipoproteins ทำหน้าที่ เป็นตัวขนส่งของโมเลกุลไขมันในร่างกาย
6. Hepatitis A, B, C
การติดเชื้อ hepatitis จากเชื้อไวรัส บางกลุ่มสามารถรักษาหายได้ และ บางกลุ่มไม่สามารถรักษาให้หายขาด โดยยังคงสถานะเป็น carrier of disease อยู่
Anti HAV IgM Ab เป็นการตรวจหา antibody ต่อไวรัสตับอักเสบชนิดเอ แบบ acute infection
หากผล positive แนะนำพบแพทย์ทันที เพื่อทำการรักษาโรคต่อไป
Anti HAV IgG Ab เป็นการตรวจหา antibody ต่อไวรัสตับอักเสบชนิดเอ
หากผล positive แสดงว่า เคยได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดเอ มาก่อน
HBs Ag เป็นการตรวจหาส่วนประกอบของไวรัสตับอักเสบชนิดบี
หากผล positive แนะนำปรึกษาแพทย์ต่อไป เพื่อทำการรักษาตามระยะของโรค โดยเจาะเลือดเพิ่มเติม เพื่อหาจำนวนเชื้อ (viral load) ไวรัสตับอักเสบชนิดบี
Anti HBs Ab เป็นการตรวจหา antibody ต่อไวรัสตับอักเสบชนิดบี
หากผล positive แสดงว่า มีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสตับอักเสบชนิดบี *ณ ช่วง เวลานั้น*
ภูมิคุ้มกันต่อไวรัสตับอักเสบชนิดบี จะลดลงตามกาลเวลา ดังนั้นควรรับ booster vaccine ตามช่วงเวลาที่เหมาะสม
Anti HBc Ab เป็นการตรวจหา antibody ต่อไวรัสตับอักเสบชนิดบี
หากผล positive แสดงว่า เคยได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบี มาก่อน
Anti HCV Ab เป็นการตรวจหา antibody ต่อไวรัสตับอักเสบชนิดซี
หากผล positive แนะนำปรึกษาแพทย์ต่อไป
7. Thyroid function test [TFT]
TSH (Thyroid stimulating hormone) เป็นฮอร์โมนที่สร้างจากต่อมใต้สมอง เพื่อมากระตุ้นการทำงานของต่อมไทรอยด์ต่อไป
FT3 (Free triiodothyronine) เป็นฮอร์โมนที่สร้างจากต่อมไทรอยด์
FT4 (Free thyroxine) เป็นฮอร์โมนที่สร้างจากต่อมไทรอยด์
8. Urine analysis [UA]
Color ในประเด็นสีของปัสสาวะนี้ สามารถจำแนกลักษณะได้หลายประการ เช่น
หากเป็นเฉดสีเหลืองอ่อนๆ รวมทั้งสี Amber (สีทองอำพัน) ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ
หากเป็นสีเหลืองเข้ม สาเหตุเช่น ในภาวะร่างกายอาจขาดน้ำ, หรืออาจผิดปกติในภาวะดีซ่าน (มี metabolite ของน้ำดี ออกมาในปัสสาวะ)
ถ้าเป็นสีส้มหรือสีแดง (โดยอยู่ในเกณฑ์ปกติ กรณีอยู่ในช่วงมีประจำเดือน) นอกนั้นถือว่าอยู่ในเกณฑ์ผิดปกติ โดยน่าจะมีเลือดปนในปัสสาวะ สาเหตุเช่น การอักเสบของทางเดินปัสสาวะ, นิ่ว, การติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ, เนื้องอกในทางเดินปัสสาวะ หรือ ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด (ซึ่งพอหยุดยาแล้ว อาการหายไปได้เอง) เป็นต้น
ถ้าเป็นปัสสาวะสีคล้ายโค้ก (หมายถึงสีน้ำตาลดำแบบเป๊บซี่โคล่า) หมายถึงการมีเม็ดเลือดแตกสลายในร่างกายแล้วถูกขับออกมาในปัสสาวะ เช่น มีโรคประจำตัว G6PD มักจะมีอาการเม็ดเลือดแดงแตกง่าย, หรือ ในคนปกติที่ติดเชื้อ เช่น malaria ก็ทำให้เม็ดเลือดแดงแตกได้ คนสมัยก่อนถึงได้เรียกมาเลเรียว่า “ไข้ปัสสาวะดำ”
Clarity หมายถึง ความใสของปัสสาวะอยู่ระดับไหน
ถ้าใสก็รายงานว่า clear ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ
ถ้าขุ่นก็รายงานว่า Turbid การมีปัสสาวะขุ่นถือเป็นความผิดปกติอย่างหนึ่ง สาเหตุเช่น ร่างกายกำลังขาดน้ำอยู่, มีการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ, โมเลกุลสารเคมีต่างๆ รั่วออกมาในปัสสาวะ (ตัวอย่างโปรตีน น้ำตาล คีโตน ฯลฯ โดยสารเคมีแต่ละตัวที่รั่วออกมาเป็นตัวบ่งบอกว่าน่าจะเป็นโรคอะไร) เป็นต้น
Sp.Gr [specific gravity] หมายถึง ความถ่วงจำเพาะ
หมายถึงความหนาแน่นของน้ำปัสสาวะเมื่อเทียบกับน้ำบริสุทธิ์ คือน้ำบริสุทธิ์โดยนิยามมีความถ่วงจำเพาะเท่ากับ 1.0
ถ้าค่ายิ่งสูงมาก แสดงว่า ภาวะร่างกายกำลังขาดน้ำมากขึ้น (แปรผันตามตัวเลขที่มากขึ้น)
แต่หากมีค่าต่ำเรื้อรัง เช่น 1.005 สาเหตุเช่น มีโรคประจำตัวเบาจืด (diabetes insipidus)
pH หมายถึง ค่าความเป็นกรดเป็นด่าง ของปัสสาวะ
ของเหลวทั่วไปที่เป็นกลาง ไม่เปรี้ยว ไม่ฝาด (ไม่เป็นกรดหรือด่าง) ค่า pH จะเท่ากับ 7.0
ปัสสาวะของคนเรา ตามธรรมชาติ เป็นกรดอ่อน ๆ
หากมีค่าที่เป็นกรด หรือ ด่างมากกว่าปกติ (ไม่อยู่ในสมดุลตามธรรมชาติ) อาจพบนิ่วในทางเดินปัสสาวะได้
Protein หมายถึง โมเลกุลโปรตีน ที่รั่วออกมาในปัสสาวะ
Negative แปลว่าไม่มี โปรตีน รั่วออกมาในปัสสาวะ
Positive แปลว่า การมี โปรตีน รั่วออกมาในปัสสาวะ โดยมีหลายระดับตั้งแต่ + (เล็กน้อย) ไปจนถึง ++++ (มากผิดปกติ) โดยแจกแจงดังต่อไปนี้
1. ระดับเล็กน้อย สาเหตุเช่น การออกกำลังกายเกินตัว (extreme exercise) ทำให้ protein breakdown จำนวนมาก เป็นต้น
2. ระดับปานกลางถึงมาก สาเหตุเช่น โรคไตอักเสบ, มีโรคประจำตัว nephrotic syndrome, มีโรคประจำตัวโรคไตเรื้อรัง เป็นต้น
Glucose หมายถึง โมเลกุลน้ำตาลกลูโคส ที่รั่วออกมาในปัสสาวะ
Negative แปลว่าไม่มี น้ำตาลกลูโคส รั่วออกมาในปัสสาวะ
Positive แปลว่า การมี น้ำตาลกลูโคส รั่วออกมาในปัสสาวะ โดยมีหลายระดับตั้งแต่ + (เล็กน้อย) ไปจนถึง ++++ (มากผิดปกติ) โดยแจกแจงดังต่อไปนี้
1. ระดับเล็กน้อย สาเหตุเช่น ในคนปกติที่รับประทานอาหาร และ/หรือเครื่องดื่ม ที่มีน้ำตาลปริมาณมากๆ
2. ระดับปานกลางถึงมาก สาเหตุเช่น มีโรคประจำตัว เบาหวาน เป็นต้น
Ketone หมายถึง โมเลกุลketone ที่รั่วออกมาในปัสสาวะ
ก่อนอืนขออธิบาย Ketone ก่อนนะครับ
คือปกติกระบวนการขับเคลื่อนร่างกายของเรานี้จะต้องมีเม็ดพลังที่เรียกว่าอะเซติลโคเอ (Acetyl CoA) ไปช่วย cell ต่างๆ ทำงาน จึงจะมีชีวิตปกติอยู่ได้
การจะได้เม็ดพลังนี้มามี 2 ทางเท่านั้น 1 คือย่อยโมเลกุลกลูโคสเอาเม็ดพลัง 2 คือย่อยโมเลกุล ketone เอาเม็ดพลัง
ปกติร่างกายจะใช้กลูโคส เพราะเราได้มาง่ายๆจากอาหารคาร์โบไฮเดรตเช่นน้ำตาล และแป้ง
แต่ถ้าไม่มีกลูโคส ตับจึงจะสลายไขมัน ทั้งไขมันที่กินเข้าไปหรือไขมันที่สะสมไว้ ออกมาเป็นกรดไขมันอิสระ (free fatty acid หรือ FAA) แล้วสลายต่อไปเป็น ketone เมื่อได้ ketone แล้วก็เอาไปให้ cell ใช้เป็นเม็ดพลัง ซึ่งหากมีมากเกินไป ทำให้ต้องระบายออกมาทางลมหายใจเป็นกลิ่นน้ำยาล้างเล็บ หรือไม่ก็ระบายออกไปทางปัสสาวะ
การที่มี ketone มากจนต้องระบายทิ้งเช่นนี้ไม่ใช่ภาวะปกติ ต้องมีอะไรผิดพลาดสักอย่างหนึ่งที่ทำให้ไม่มีกลูโคสใช้ เช่น
# ภาวะขาดอาหาร (starvation)
# การลดความอ้วนด้วยสูตร No Carb (คือทานแต่เนื้อสัตว์, ผักแต่ไม่ทานคาร์โบไฮเดรตเลย)
# ภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน ซึ่งเซลร่างกายเอากลูโคสไปสลายเป็นเม็ดพลังไม่ได้ ทำให้แม้จะมีกลูโคสเหลือมาหกมาย แต่ร่างกายก็ใช้ไม่ได้ ต้องหันไปใช้ไขมันแทน
# ร่างกายขาดน้ำอย่างรุนแรง
# ร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บ เป็นต้น
Negative แปลว่าไม่มี ketone รั่วออกมาในปัสสาวะ
Positive แปลว่า การมี ketone รั่วออกมาในปัสสาวะ โดยมีหลายระดับตั้งแต่ + (เล็กน้อย) ไปจนถึง ++++ (มากผิดปกติ) โดยแจกแจงดังต่อไปนี้
1. ระดับเล็กน้อย สาเหตุเช่น การลดความอ้วนแบบผิดวิธี ดังกล่าวข้างต้น
2. ระดับปานกลางถึงมาก สาเหตุเช่น ภาวะขาดอาหารอย่างรุนแรง, ภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน ดังกล่าวข้างต้น
Bilirubin หมายถึง ผลิตภัณฑ์จากการสลาย Heme ซึ่งเป็นส่วนประกอบของ hemoglobin ในเม็ดเลือดแดง
Negative แปลว่าไม่มี Bilirubin รั่วออกมาในปัสสาวะ
Positive แปลว่า การมี Bilirubin รั่วออกมาในปัสสาวะ สาเหตุเช่น กำลังมีปัญหาดีซ่าน (จากตับอักเสบ, ทางเดินน้ำดีอุดตัน, เม็ดเลือดแดงแตกสลายจำนวนมาก) เป็นต้น
Leukocyte หมายถึง เม็ดเลือดขาว
Positive แปลว่า การมี เม็ดเลือดขาวในปัสสาวะ สาเหตุเช่น การอักเสบของทางเดินปัสสาวะ, การติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ เป็นต้น
Nitrite คือสารพวก nitrite ซึ่งปกติไม่มีในปัสสาวะ
Positive แปลว่า อยู่ในเกณฑ์ผิดปกติ สาเหตุเช่น ภาวะที่มีการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะจาก bacteria ชนิดที่สร้าง nitrite ได้ เป็นต้น
Microscopic Examination คือ การส่องกล้องจุลทรรศน์ดูปัสสาวะ Centrifuged 10 ml แปลว่าเอาปัสสาวะ 10 ซีซี.มาปั่นแล้วเอาตะกอนที่ปั่นได้มาส่องกล้องจุลทรรศน์
White blood cell คือ เม็ดเลือดขาวในปัสสาวะจากการดูผ่านกล้องจุลทรรศน์
ถ้ามีค่าสูงกว่าช่วงปกติ ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ผิดปกติ สาเหตุเช่น การอักเสบของทางเดินปัสสาวะ, การติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ เป็นต้น (แต่อาจอยู่ในเกณฑ์ปกติได้ กรณีอยู่ในช่วงมีประจำเดือน หรือ เก็บปัสสาวะผิดวิธี ทำให้มีการปนเปื้อนตั้งแต่ขั้นตอนดังกล่าว เป็นต้น)
Red blood cell คือ เม็ดเลือดแดงในปัสสาวะจากการดูผ่านกล้องจุลทรรศน์
ถ้ามีค่าสูงกว่าช่วงปกติ ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ผิดปกติ สาเหตุเช่น การอักเสบของทางเดินปัสสาวะ, นิ่ว, การติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ, เนื้องอกในทางเดินปัสสาวะ หรือ ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด (ซึ่งพอหยุดยาแล้ว อาการหายไปได้เอง) เป็นต้น (แต่อาจอยู่ในเกณฑ์ปกติ กรณีอยู่ในช่วงมีประจำเดือน)
Squamous epithelial cell คือ เซลเยื่อบุผิวในปัสสาวะจากการดูผ่านกล้องจุลทรรศน์
ถ้ามีค่าสูงกว่าช่วงปกติ สาเหตุเช่น การเก็บปัสสาวะผิดวิธี ทำให้มีการปนเปื้อนตั้งแต่ขั้นตอนดังกล่าว
ซึ่งจะทำให้ไม่สามารถแปลผลคุณภาพปัสสาวะได้ ต้องเก็บปัสสาวะตรวจใหม่
Bacteria ปกติปัสสาวะไม่ควรมี Bacteria เพราะ pH ของปัสสาวะเป็นกรด
Positive แปลว่า อยู่ในเกณฑ์ผิดปกติ สาเหตุเช่น การติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ เป็นต้น
แต่ถ้าเราปัสสาวะแล้วตั้งทิ้งไว้นานกว่าห้องแล็บจะมารับไปตรวจ, Bacteria ที่ปนเปื้อนจากสภาวะแวดล้อม อาจเจริญเติบโตในปัสสาวะได้เหมือนกัน เรียกว่าเป็นผลบวกเทียม หรือ เป็นความผิดพลาดทางเทคนิค
Amorphous คือ ผลึกสารต่างๆ ในปัสสาวะ เช่น amorphous urates, amorphous phosphates เป็นต้น
Positive แปลว่า การมี ผลึกสารต่างๆในปัสสาวะ โดยมีหลายระดับตั้งแต่ + (เล็กน้อย) ไปจนถึง ++++ (มากผิดปกติ) จากระยะเวลาถ้ามีมากถึงขนาดมากผิดปกติเป็นเวลานาน ก็จะกลายเป็นนิ่วได้
9. Lipid and water soluble antioxidants
เป็นการตรวจตามหลัก anti-aging medicine
ในส่วนนี้ค่อนข้างยาวประมาณ 4-10 หน้า สามารถอ่านเพิ่มเติมที่ บทความฉบับใหม่
10. Stool examination
Color ตัวอย่างเช่น
หากเป็นสีเหลือง ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ
หากเป็นสีเขียว สาเหตุของความผิดปกติเช่น ในภาวะดีซ่าน (มี metabolite ของน้ำดี ออกมาในอุจจาระ) โดยไม่นับการทานผักสีเขียว ซึ่งกรณีนี้จะมีกากใยสีเขียวปนในเนื้ออุจจาระออกมาตามภาวะปกติ
ถ้าเป็นสีแดง หรือ สีแดงดำ สาเหตุเช่น ภาวะเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนต้น, ส่วนปลาย, และ/หรือ ทั้ง 2 ส่วน เป็นต้น
Oval & Parasite คือ การส่องกล้องจุลทรรศน์ดูอุจจาระ
Found or Positive แปลว่า อยู่ในเกณฑ์ผิดปกติ สาเหตุตามชนิดพยาธิที่ระบุในผลตรวจ
Not found or Negative แปลว่า อยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่อย่างไรก็ตามอาจเป็นผลลบลวง กล่าวคือ เพิ่งรับเชื้อพยาธิมาไม่กี่วัน, เป็นพยาธิกลุ่มที่ตรวจหายากด้วยวิธีปกติ หรือเป็นพยาธิที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในทางเดินอาหารช่วงนั้น
ดังนั้น การป้องกันจึงเป็นแนวทางที่ดีที่สุด ตัวอย่างเช่น การรับประทานอาหารตามสุขอนามัย หลีกเลี่ยงของดิบ หรือ สุกๆ ดิบๆ, ทำความสะอาดร่างกาย, ใส่รองเท้าเวลาสัมผัสพื้นดิน เป็นต้น
11. Chest x-ray [CXR]
สามารถอ่านเพิ่มเติมที่ บทความฉบับใหม่
12. Other imaging
สามารถอ่านเพิ่มเติมที่ บทความฉบับใหม่
13. Bone Density Scan [DXA]
สามารถอ่านเพิ่มเติมที่ บทความฉบับใหม่
14. Electrocardiography [EKG 12 leads]
สามารถอ่านเพิ่มเติมที่ บทความฉบับใหม่
15. Exercise stress test [EST]
สามารถอ่านเพิ่มเติมที่ บทความฉบับใหม่
16. Echocardiography
สามารถอ่านเพิ่มเติมที่ บทความฉบับใหม่
Friday, 18 October 2013
Disease outbreak news on 16th October 2013
Human infection with avian influenza A(H7N9) virus – update
Disease outbreak news
16 OCTOBER 2013 - The National Health and Family Planning Commission, China notified WHO of a new laboratory-confirmed case of human infection with avian influenza A(H7N9) virus. This is the first new confirmed case of human infection with avian influenza A(H7N9) virus since 11 August 2013.
The patient is a 35-year-old man from Zhejiang Province. He was admitted to a hospital on 8 October 2013 and is in a critical condition. Additionally, a previously laboratory-confirmed patient from Hebei has died.
Concerned infectious area
To date, WHO has been informed of a total of 136 laboratory-confirmed human cases with avian influenza A(H7N9) virus infection including 45 deaths. Currently, three patients are hospitalized and 88 have been discharged. So far, there is no evidence of sustainable human-to-human transmission.
Model of Avian influenza A virus (H7N9)
The Chinese government continues to take strict monitoring, prevention and control measures, including: strengthening of epidemic surveillance and analysis; deployment of medical treatment; conducting public risk communication and information dissemination; strengthening international cooperation and exchanges; and is continuing to carry out scientific research.
WHO does not advise special screening at points of entry with regard to this event, nor does it currently recommend any travel or trade restrictions.
Reference from WHO, Global Alert and Response (GAR) wrote on 16 October, 2013
Thursday, 28 February 2013
Lessons learned from armed conflict casualties; mass casualty incident on April 10, 2010
Research article
Department of Trauma and Emergency Medicine, Phramongkutklao Hospital, Bangkok, Thailand
BMC Emergency Medicine 2012, 12:1 doi:10.1186/1471-227X-12-1
Abstract
Viewing options
See full text, Click this link >> Dr. Nuttapong 's publication
Factors influencing injury severity score regarding Thai military personnel injured in mass casualty incident April 10, 2010: lessons learned from armed conflict casualties: a retrospective study
Nuttapong Boonthep*, Suthee Intharachat† and Tassanee Iemsomboon†
- * C Corresponding author: Nuttapong Boonthep nuttapong_boonthep@yahoo.com
- † Equal contributors
- Author Affiliations
Department of Trauma and Emergency Medicine, Phramongkutklao Hospital, Bangkok, Thailand
For all author emails, please log on.
BMC Emergency Medicine 2012, 12:1 doi:10.1186/1471-227X-12-1
Map demonstrating MCI April 10, 2010
Mechanism of injury and injured body regions among Thai military personnel in MCI
Mechanism of injury and injured body regions among Thai military personnel in MCI
Abstract
Background
Political conflicts in Bangkok, Thailand have caused mass casualties, especially the latest event April 10, 2010, in which many military personnel were injured. Most of them were transferred to Phramongkutklao Hospital, the largest military hospital in Thailand. The current study aimed to assess factors influencing Injury Severity Score (ISS) regarding Thai military personnel injured in the mass casualty incident (MCI) April 10, 2010.
Methods
A total of 728 injured soldiers transferred to Phramongkutklao Hospital were reviewed. Descriptive statistics was used to display characteristics of the injuries, relationship between mechanism of injury and injured body regions. Multiple logistic regressions were used to calculate the adjusted odds ratio (adjusted OR) of ISS comparing injured body region categories.
Results
In all, 153 subjects defined as major data category were enrolled in this study. Blast injury was the most common mechanism of injury (90.2%). These victims displayed 276 injured body regions. The most common injured body region was the extremities (48.5%). A total of 18 patients (11.7%) had an ISS revealing more than 16 points. Three victims who died were expected to die due to high Trauma and Injury Severity Score (TRISS). However, one with high TRISS survived. Factors influencing ISS were age (p = 0.04), abdomen injury (adjusted OR = 29.9; 95% CI, 5.8-153.5; P < 0.01), head & neck injury (adjusted OR = 13.8; 95% CI, 2.4-80.4; P < 0.01) and chest injury (adjusted OR = 9.9; 95% CI, 2.1-47.3; P < 0.01).
Conclusions
Blast injury was the most common mechanism of injury among Thai military personnel injured in the MCI April 10, 2010. Age and injured body region such as head & neck, chest and abdomen significantly influenced ISS. These factors should be investigated for effective medical treatment and preparing protective equipment to prevent such injuries in the future.
Viewing options
Subscribe to:
Posts (Atom)